ระหว่าง FREED และ CR-V สองคันนี้เลือกอะไร

บางคนเห็นอาจจะบอกว่าบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่บังอาจเอา FREED กับ CR-V มาเทียบกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ และเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงกำลังคิดไม่ตกแน่ ๆ เพราะถึงแม้ว่ารถทั้งสองรุ่น จะเป็นรถคนละระดับกัน มีการใช้งานที่ต่างกัน แต่เคยสงสัยใหมล่ะว่า รถแบบใหนที่เหมาะกับการใช้งานของเรามากที่สุด ถ้าจะออก CR-V มาด้วยเงินเป็นล้าน แล้วใช้งานคุ้มหรือไม่ บางทีอะไรที่มันเกินไปก็ไม่เหมาะกับเรานั่นเอง เอาเป็นว่ามาดูดีกว่า ว่า Honda Freed เหมาะกับใคร และ All New CR-V เหมาะกับใคร ทั้งคู่เหมาะกับงานประเภทใหน

 

          ถ้าลองเข้าไปแต่ละศูนย์ดู จะพบว่าไม่ว่าจะศูนย์ไหน ยอดจอง New CR-V ยาวเป็นหางว่าว และกว่าจะได้รถอาจจะต้องกินเวลาหลายเดือน ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการได้รถเร็ว ๆ แต่ในทางกลับกัน ถ้าหันไปเอา Freed อาจจะได้รถภายในไม่กี่วัน ไม่ใช่ว่ารถมันไม่ดี จึงเหลือเยอะ เพียงแต่ว่า Honda Freed ทำมาเพื่อการใช้งานในแบบเฉพาะของมัน ซึ่งต้องดูที่การใช้งานส่วนตัวอีกที

เน้นขับในเมือง FREED หรือ CR-V ดีนะ

         ถ้าจะเน้นขับในเมือง แสดงว่าจะถามถึงเรื่องความประหยัดแน่นอน ซึ่งในเมืองนั้นรถค่อนข้างติด ตรงนี้เองที่ทำให้รถที่มีเครื่องเล็กได้เปรียบกว่าในเรื่องความประหยัด นั่นหมายถึง เครื่องเล็ก แล้วตัวรถต้องเล็กตามไปด้วย …..แต่ Freed ตัวใหญ่ แต่ใจเล็ก(TT^TT) นั่นหมายความว่าไม่แตกต่างกันจนขาดหลุดลุ่ย กับอัตราการกินน้ำมันของทั้งสองรุ่นนี้ ที่สำคัญรู้สึกเอนเอียงไปทาง All New CR-V เพราะ E85 และด้วยเครื่องยนต์ที่สดใหม่กว่า

ขับทางไกล นั่งนิ่มสบาย ไปกันได้หลายคน

           ต้องถามว่าแล้วไอ้หลายคนที่ว่าเนี่ย มันกี่คนกันล่ะ นั่นก็เพราะว่า Freed มีที่นั่งถึง 3 แถว หรือนั่งได้ประมาณ 7 คน แต่ CR-V นั่งได้แค่ 5 คนเท่านั้นเอง แต่ถึงแม้จะพากันไปได้น้อย แต่นั่งนิ่มสบายสุด ๆ เพราะเบาะของ CR-V นิ่มและกว้างขวางมาก ๆ เหยียดเท้าได้สุดเหมือนรถเก๋ง แต่ Freed นิ่มเฉพาะเบาะหน้าเท่านั้น ส่วนแถวสองและสาม จะแข็งหน่อย ไม่นิ่มเหมือน CR-V แต่ถ้าไปไม่ไกลมาก แบบว่าไปกัน 7 คน เดินทางไม่เกิน 70 ก.ม. เนี่ย คงยังไม่ทันเมื่อยหลอกมั้ง

            แต่ถ้าไม่ได้ซีเรียสกันเรื่องจำนวนที่นั่ง เรื่องขับทางไกลคงยกให้ CR-V ดีกว่า ไม่ใช่ว่า Freed ไม่ดี แต่การเดินเครื่อง รอบเครื่องอะไรต่าง ๆ CR-V จะนิ่งมากกว่า ส่วน Freed อาจจะเกิดอาการรถสั่นเล็กน้อย หากเร็วเกิน 120 ก.ม./ช.ม. และถ้าไกลมาก ๆ ขนาดนั้น คงจะมีอาการเมื่อยกันบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไปได้มากกว่า

ช่วงล่างหนึบ เกาะถนนเยี่ยม

            ด้วยราคา ที่ต่างกันขนาดนี้ คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องสมรรถนะของช่วงล่างกันมากมาย เพราะยังไงซะ CR-V ก็กินขาดในทุกเรื่อง นี่ยังไม่รวมเรื่องการขับรถลงหลุม หรือขึ้นเนิน หรือขอบถนน ที่รถสูงกว่ายอมได้เปรียบเป็นเรื่องธรรมดา ไหนจะระบบขับ 4 ล้อ ถ้าเลือกแบบขับ 4 มา ที่สามารถลุยไปในทางที่ลำบากมากกว่าได้

              แต่ถ้าไม่ได้เอาไปลุยโคลน ลงหลุม หรือปีนขอบฟุตบาทอย่างที่ว่ามาข้างต้นล่ะ ตรงนี้ Freed ก็เหลือ ๆ อีกเหมือนกัน ถ้าเน้นขับนิ่ง ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ปรู๊ดปร๊าด นี่ Freed อาจจะเหลือ ๆ เลยก็ว่าได้

แซงได้ดั่งใจ ควมคุมง่ายไม่มีอืด

             ไม่น่าจะเป็นที่สงสัยนะ เพราะว่าด้วยกำลังของเครื่องยนต์ ยังไง CR-V ก็ทำตรงนี้ได้ดีกว่า ส่วน Freed น่ะหรือ…เห็นหลายคนบ่นว่า กว่าจะแซงได้ที ลุ้นกันจนตัวโก่ง กลัวว่ารถข้างหน้าจะเสยเข้าให้เสียก่อน แต่ถ้าลองมองกลับกัน ถ้า Freed ไปขับในเมือง ไหลไปเรื่อย ๆ ตามหลังกันไป มันก็ดีไปอีกแบบนะ

เรื่องอื่น ๆ ที่ต้องพูดถึง

             เห็นคนแก่หลาย ๆ คนที่ชอบเดินทางใกล้ ๆ แบบว่านั่งไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ลง มักจะนิยมชมชอบ Freed กันมากพอสมควร นั่นก็เพราะว่าตัวรถค่อนข้างต่ำ ประตูแบบบานเลื่อนเปิดได้กว้างมาก ๆ คนแก่ก้าวขาขึ้นลงสะดวกมาก ๆ การขึ้นลงสะดวกกว่า CR-V เยอะมาก ๆ แต่ถ้าต้องนั่งเป็นระยะเวลานาน ๆ มักจนบ่นว่าปวดเมื่อยกัน ส่วน CR-V มันยากแค่ตอนขึ้น ด้วยความที่รถสูงมาก กว่าจะก้าวขาขึ้นได้แต่ละข้าง เหนื่อยหน้าดู แต่พอได้นั่งแล้วไม่ยักมีใครบ่น นอกจากตอยจะลงรถอีกที

              อัตราการกินน้ำมันถึงแม้ว่าจะพอ ๆ กัน แต่ของ Freed สามารถนำคนไปได้มากกว่า คือสามารถไปได้ถึง 7 คน ถ้าลองหารค่าน้ำมันเฉลี่ยออกมาเป็นรายคน ก็อยู่ในอัตราที่รับได้ แต่ถ้าเป็น CR-V ถ้าจะไปถึง 7 คน นั่นก็คือต้องรถสองคัน นอกเสียจากจะให้อีกสองคนไปอัดอยู่ในส่วนเก็บของถึงจะไปได้

              ราคา Honda Freed และ All New CR-V นั้นต่างกันอยู่ประมาณ 100000 ถึง 300000 บาท ถ้าจะซื้อ Freed ตัวท๊อป ก็อย่าลืมมอง CR-V ตัวล่าง ๆ ไว้ด้วย นอกเสียจากว่าคุณจะออกรถแบบ 7 ที่นั่งจริง ๆ Freed อาจจะคุ้มกว่า แต่ถ้าไม่และเงินถึง มอง CR-V ไว้ไม่ผิดหวัง